ถ้าจะให้นิยามสั้น ๆ เลยสำหรับ Jedi Survivor คือมันเป็นการนำเสนอในสเกลที่ใหญ่กว่าภาคที่แล้วมากขึ้นแบบมาก ๆ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ Open World แต่ฉากจะมีความกว้างและความใหญ่ที่มากขึ้นจากภาคแรกอยู่พอสมควรเลยทีเดียว และทีม Respawn ผู้พัฒนาเกมนี้ก็เผยว่า ในภาคนี้ตัวเกมมีความเป็น Metroidvania มากยิ่งขึ้น ก็ต้องบอกว่าจริงตามนั้น
Metroidvania จะเป็นเกมแนว Action Platformer ที่มีการออกสำรวจผสมอยู่ ในครั้งแรกที่เราเดินทางไปยังพื้นที่ใหม่ เราอาจจะยังเข้าไปไม่ได้ ต้องเล่นจนเลยจุดนั้นไปก่อน แล้วจะปลดล็อคเส้นทางลัดที่ใช้ในการย้อนกลับมาได้ ในภาค Survivor นี้ เกมใช้ระบบแบบนี้แทบจะทุกฉาก ซึ่งมันก็คล้ายกับภาคแรก แต่ด้วยความที่โลกของเกมนี้มีขนาดใหญ่กว่ามาก และเราจะได้เดินทางไปหลายดวงดาวด้วยกัน ทำให้การย้อนกลับมา บางครั้งไม่ใช่แค่การย้อนกลับทางเก่า แต่เป็นการกลับมาดาวเดิมเลย เพื่อไปยังสถานที่ที่ถูปิดไว้ในตอนแรก ดังนั้นใครเล่นเกมนี้ ไปเจอฉากที่หาทางไปไม่ได้สักที อย่าคิดว่าเราจะตกหล่นอะไรไป เพราะบางทีมันล็อคไว้จริง ๆ เล่นไปก่อน เดี๋ยวมันมีทางพากลับมาอยู่แล้ว
ในภาคนี้เราจะได้เดินทางไปหลายดวงดาวมาก ๆ แต่ทุกดวงดาวก็จะมีรูปแบบการนำเสนอที่ต่างกันไป อย่างเช่น Coruscant ดาวแรกที่แฟน ๆ ชื่นชอบ ก็จะดูมีความเป็นเมืองหลวง เป็นมหานครที่ยิ่งใหญ่ แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถออกนอกเส้นทางได้เลย เกมจะเป็ฯแบบเส้นตรงเท่านั้น แต่พอไปดวงดาวต่อ ๆ ไป ก็จะมีส่วนของความเป็นกึ่ง Open World ที่เราสามารถออกสำรวจได้ และตลอดเกมการเล่นของภาคนี้ก็จะเป็นแบบนี้ บางดาวสำรวจได้ บางดาวก็นำเสนอเป็นเส้นตรง แต่มันก็ต้องประมาณนี้แหละ ไม่งั้นการเล่าเรื่องจะลำบาก
ระบบแผนที่ที่หลายคนบ่นว่ามันดูยาก สังเกตยากในภาคแรก ภาคนี้ก็ถือว่าทำได้ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้สมบูรณ์แบบ บางฉากที่มันซับซ้อนจริง ๆ ก็ยังมีการหลงทางให้เห็นอยู่บ้าง โดยเฉพาะฉากแคบ ๆ หรือภายในสถานที่ปิดที่บางครั้งรู้สึกว่าการกดแผนที่มันไม่ช่วยอะไรเท่าไร แต่ที่รู้สึกว่ามันมีประโยชน์จริง ๆ ในภาคนี้ คือระบบ Navigation Assist ที่เราสามารถเปิดได้ใน Setting เมื่อเราเปิดระบบนี้ จะมีสัญลักษณ์ช่วยนำทางให้ แต่มันแค่บอกเบาะแสเรา วิธีการเปิดทางไปต่อเรายังคงต้องหาและสังเกตเอาเอง แต่แค่นี้ก็ถือว่าช่วยได้มากแล้วสำหรับคนหลงทิศหลงทางง่าย ๆ เช่นตัวผมเอง
ในด้านการออกสำรวจของเกมนี้ ต้องบอกตามตรงว่าผมค่อนข้างผิดหวัง ด้วยความที่มันไม่ใช่เกม RPG การออกสำรวจซอกเล็กซอกน้อยต่าง ๆ ของเกมนี้ ของรางวัลเกือบ 80% ล้วนแล้วแต่เป็นของตกแต่งทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทรงผม เสื้อผ้า ของตัว Cal เองที่เปลี่ยนได้ แต่ในภาคนี้เรายังสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเจ้าหุ่น BD-1 ได้ด้วย ส่วนของ Lightsaber เองก็ปรับเปลี่ยนได้ตั้งแต่สีของมันไปจนถึงตัวด้าม ดังนั้นใครดูคลิปนี้ เห็นผมใช้ไลท์เซเบอร์สีเขียวก็อย่าแปลกใจ มันเปลี่ยนสีได้นั่นเอง ซึ่งการที่ของรางวัลในการสำรวจมันเป็นเพียงสกินตกแต่งสวยงาม คนที่ชอบตัวละครแบบ Default หรือคิดว่าต้นฉบับมันก็เท่อยู่แล้ว อาจจะมองว่าไม่สำคัญไปเลยก็ได้ แต่ของรางวัลอีกประเภทคือ Perk Ability หรือโบนัสสเตตัสเช่นเพิ่มพลังชีวิต เพิ่มพลังฟอร์ซสูงสุดอันนี้คือจำเป็นมาก แต่นาน ๆ ทีจะเจอ แต่ส่วนตัวสำหรับผมแล้ว มันไม่ค่อยน่าสำรวจเท่าไร บางทีงมหาทางเข้าถึงกันแทบตาย เปิดกล่องมา อ้าว ของแต่งตัวเฉยเลย
รีวิวเกม Star Wars: Jedi Survivor สานต่อความ Rogue like จากภาคแรก
ภาคแรกเป็นยังไง ภาคนี้คือการหยิบเอาภาคแรกมาต่อยอด และเพิ่มความสนุกให้กับการเล่นมากยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญแรกเลยคือ Stance หรือรูปแบบการโจมตีของ Cal ที่ในภาคนี้จะมีหลากหลายมากยิ่งขึ้น ของใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือการใช้ Lightsaber คู่ไปกับปืนบลาสเตอร์ และแบบ Crossguard ที่จะเป็นดาบที่มีขอบซ้ายขวา คล้าย ๆ กับของ Kylo Ren โดย Stance ใหม่ทั้งสองแบบนี้จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการต่อสู้ให้กับเราด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถเลือก Stance ออกไปผจญภัยได้เพียง 2 Stance เท่านั้น โดยสามารถเปลี่ยนได้ที่จุด Checkpoint ของตัวเกม แต่ละ Stance จะมีการบ่งบอกค่าสถานะว่าเหมาะสมกับการต่อสู้ประเภทไหน เน้นตีแรง ตีไกล ระยะโจมตีเป็นยังไง อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้เล่นเองแล้วว่าอยากเล่น Stance ไหนบ้าง และแต่ละ Stance ก็จะมีการอัปเกรดสกิลของสายนั้น ๆ ด้วย เราก็เลือกเอาเลยว่าจะเล่นสายนั้นยาว ๆ หรือกระจายไปทุก ๆ สาย Stance แต่ละแบบจะมีสกิลเฉพาะทางที่ต่างกัน อย่างเช่น Dual Wield ที่สามารถกดโฟกัสและ Auto Parry ได้เลยเวลาศัตรูตีเข้ามาเป็นต้น
สิ่งที่ผมรู้สึกก็คือเหมือนว่าเกมเพลย์ภาคนี้จะเล่นง่ายกว่าภาคแรกมาก แม้ว่าภาคแรกมันจะมีกลิ่นอายความเป็น Soulslike อยู่บ้าง ทำให้ผู้เล่นหลายคนคิดว่ามันเล่นยากไป แต่ฮาร์ดคอร์แฟนที่ผ่านเกมโหด ๆ มาอย่าง Dark Souls, Sekiro อะไรพวกนี้จะมองว่าเกมนี้ง่ายมาก ในภาค Survivor นี้ผมว่ามันยิ่งง่ายลงไปอีก ผมกดเกมนี้ด้วยความยากระดับ Jedi Knight หรือ Normal คือเล่นแบบชิล ๆ ได้เลย จะมีบางช่วง บางฉากเท่านั้น ที่มันใส่ศัตรูมาแบบจัดเต็มจนต้องตั้งใจเล่น แต่ถึงอย่างนั้น ก็อย่าประมาท ศัตรูเกมนี้แต่ละประเภท มีทีเด็ด มีความกวนของมันอยู่ พลาดขึ้นมาก็เจ็บหนักได้เหมือนกัน
ระบบการต่อสู้ของเกมนี้จะคล้าย ๆ เกมอย่าง Sekiro หรือ Sifu ที่ด้านใต้หลอดพลังชีวิตของศัตรูแต่ละตัว จะมีหลอดสีเทาที่ทำงานคล้ายหลอด Structure ถ้าเรายังตีหลอดนี้ไม่หมด เราก็จะไม่สามารถลดพลังชีวิตศัตรูลงได้ แต่การโจมตีปกติจะลดหลอดนี้ได้ค่อนข้างช้า วิธีที่ดีที่สุดคือการ Parry แต่ก็ต้องระวังการโจมตีที่ Parry ไม่ได้ด้วย โดยการโจมตีประเภทนี้ ศัตรูจะเรืองแสงสีแดงก่อน เราต้องกดหลบเท่านั้นถึงจะรอด
รูปแบบเกมเพย์ การต่อสู้กับศัตรูภายในเกม ทั้งรูปแบบของ มอนสเตอร์และมนุษย์
ในการต่อสู้กับศัตรูประเภทบอสก็ไม่ค่อยแตกต่างกันสักเท่าไรนัก แค่บอสจะมีแพทเทิร์นการโจมตีที่หลากหลายกว่าเท่านั้น และผมเคยบ่นไว้ในเกมภาคแรกว่า ศัตรูจำพวกสัตว์หรือมอนสเตอร์เนี่ย มันสู้ยากกว่าพวกมนุษย์ด้วยกันเองอีก ภาคนี้ผมก็ยังรู้สึกอย่างนั้น เป็นเจไดที่โดนไก่ชนตาย น่าอนาถจริง ๆ เพราะพวกมอนสเตอร์เวลามันโจมตี มันจะชอบพุ่งชน หรือโผล่มาแบบงง ๆ ไม่เหมือนตัวศัตรูที่เวลามันจะตี จะยิง มันจะมีจังหวะเงื้อดาบ ชักปืนมาเล็ง ทำให้เราตั้งตัวได้ แต่ก็นั่นแหละ เรื่องความยากเป็นเรื่องส่วนบุคคล หลายคนอาจจะเล่นกันแบบชิล ๆ เลยก็ได้
แต่ในภาคนี้ บางช่วงเราจะไม่ต้องผจญภัยตัวคนเดียวแล้ว เราจะมี Companion หรือเพื่อนร่วมทางเดินทางไปด้วย เพื่อนร่วมทางหลัก ๆ เลยคือจะช่วยเราสู้ ถ้าเรากดติดท่า Finisher ก็จะเป็นท่าพิเศษร่วมกันกับตัวละครตัวนั้นด้วย เท่ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว แต่มันตลกหน่อย ๆ ตรงเพื่อนร่วมทางของเรามักจะมีความสามารถพิเศษในการเคลื่อนที่ตลอด อย่าง Bode Akuna จะมีเจ็ทแพค หรือ Merrin ที่วาร์ปไปมาได้ จนบางฉากตัว Cal เองยังบ่นเลยว่า ทุกคนมีของดีกันหมดเลยนะ ยกเว้นฉัน ซึ่งก็จริงตามนั้น จะหาทางไปต่อทีไร ต้องวิ่งวอลล์รัน กระโดดเกาะนั่นเกาะนี่ตลอด แม้ภาคนี้ก็ยังมีของใหม่เข้ามาให้ใช้บ้าง อย่างเช่น Grappling Hook ที่ใช้ยิงเกาะขึ้นที่สูงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ได้ใช้แค่บางช่วงเท่านั้น ไม่ได้อยากใช้ก็ใช้ได้เลย
นอกไปจาก Companion ตัวอื่น ๆ แล้ว เจ้าหุ่นน้อย BD-1 ในภาคนี้ก็จะมีส่วนช่วยเรามากขึ้น นอกจากจะเป็นคนคอยเติมเลือดให้เราแล้ว เมื่อเล่นไปถึงจุดนึง BD-1 จะปลดล็อคฟังก์ชั่นเสริมคือการติดตั้งอุปกรณืเสริม เพื่อช่วยเราในการผ่านแพลตฟอร์มบางอย่างได้ด้วย กลายเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยหลักของเราเลยจริง ๆ
เกมระบบ soulslike ที่ตัวละครเราจะไม่เก่งเกิน ศัตรูในแมพ เน้นใช้ ฝีมือและประสบการณ์เข้าสู้
ด้วยความที่มันไม่ใช่เกม RPG ทำให้ความแข็งแกร่งของตัวละครเราจะเก่งขึ้นไปตามเนื้อเรื่องและการกำจัดศัตรู ยกเว้นแต่การออกสำรวจในบางช่วงบางฉากที่อาจทำให้เราได้รับ Skill Point เพิ่มมากขึ้น ทำให้เราไม่ได้เก่งเกินไปกว่าศัตรูที่กำลังเจออยู่ตรงหน้าสักเท่าไรนัก แถมรูปแบบการโจมตีของศัตรูเองก็ไม่ได้มีอะไรที่รู้สึกว่ายากหรือแตกต่างกันสักเท่าไรด้วย ผู้เล่นจะได้ต่อสู้กับศัตรูที่ตึงมือตั้งแต่ต้นยันจบเกม แต่สกิลที่ปลดล็อคมา เราจะหาจังหวะใช้ได้อย่างเหมาะสม จนกลายเป็นเจไดขั้นเทพหรือไม่ก็อยู่ที่ตัวเราเอง
นอกเหนือไปจากการต่อสู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เขาก็ยังเพิ่มระบบอื่น ๆ เข้ามา การออกสำรวจดาวต่าง ๆ เราจะพบเจอไอเทมเฉพาะบนดาวดวงนั้น ซึ่งทำหน้าที่คล้ายสกุลเงินที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนสิ่งของที่ร้านค้าของดาวดวงนั้น ที่สำคัญจริง ๆ ดูเหมือนจะเป็นแค่มาสเตอร์คีย์ที่ใช้ปลดล็อคประตูต่าง ๆ นอกนั้นของที่ขายในร้านค้าก็จะเป็นแค่พวกของตกแต่งสวยงาม และในภาคนี้เขาได้เพิ่มระบบปลูกผักขึ้นมา แต่ก็อย่างที่บอก Cal จะไม่ได้เปลี่ยนจากเจไดไปเป็นเกษตรกรแต่อย่างใด มันคือระบบสำหรับเล่นผ่อนคลายเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นสีสันและมีอะไรให้เราทำมากขึ้น
หลัก ๆ แล้วเกมเพลย์ของภาคนี้คือการหยิบเอาระบบการต่อสู้ที่สนุกและได้ใจแฟน ๆ Star Wars อยู่แล้ว มาปรับปรุงให้ดีขึ้น เพิ่มทักษะใหม่ ๆ ทำให้การต่อสู้ของ Cal หลากหลายมากกว่าเดิม ใครที่เล่นภาคแรกมาแล้ว เราจะรู้สึกได้เลยว่าตัวเองเก่งตั้งแต่แรก ไม่ต่างอะไรกับที่ Cal สะสมประสบการณ์และพัฒนาฝีมือมาจนสูงขึ้น ของใหม่ที่เพิ่มเข้ามา แม้จะไม่โดดเด่นเท่าของเดิมแบบอัปเกรด แต่ก็ทำให้เกมมีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้ Jedi Survivor ถือเป็นเกมที่น่าประทับใจในฐานะเกมภาคต่อ
Star Wars Jedi: Survivor เป็นภาคต่อที่ยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน แม้จะมีปัญหาด้าน performance อยู่บาง
ถ้าทุกอย่างที่กล่าวมาสามหัวข้อแรก เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม สิ่งที่ทำให้เกมนี้ย่ำแย่เลยก็คือปัญหาในด้านการ Optimize และ Performance ของตัวเกม สำหรับเกมนี้เราก็ได้เล่นและรีวิวกันบนเครื่อง PlayStation 5 แต่จากความฝันหวานว่าจะได้ควงไลท์เซเบอร์เข้าฟาดฟันศัตรูกันอย่างดุเดือดพลิ้วไหว กลับกลายเป็นว่าต้องมาเจอกับประสบการณ์ 30-40 เฟรมแทบจะตลอด ทั้งที่ผมเล่นเกมนี้ด้วยโหมด Performance
สำหรับเกมนี้จะสามารถเลือกเล่นได้ 2 โหมด นั่นคือการเลือกที่จะเปิดปิดโหมด Performance ถ้าเราเปิดโหมดนี้ไว้ ตัวเกมจะรันเกมด้วยความละเอียด 1440p หรือ 2K ที่ 60 เฟรมเรทแทน แต่ถ้าเปิดเกมจะไม่จำกัด Resolution ซึ่งคาดว่าจะเป็น 4K แต่จะได้เฟรมเรทที่ 30 เท่านั้น แต่คุณพูดชมอาจไม่เชื่อว่าตลอดทั้งวิดีโอนี้ คือภาพที่อัดจากโหมด 2K 60 เฟรม เพราะเฟรมเรทมันแทบไม่เคยแตะ 60 ได้เลยสักครั้ง
ตอนแรกผมก็คิดว่ามันบั๊ก หรืออาจจะเป็นแค่ที่ดาว Coruscant ดาวแรก เพราะฉากมันใหญ่ รายละเอียดมันเยอะ พอไปถึงดาว Koboh ที่เป็นดาวที่ 2 ก็เห็นว่าลื่น ๆ แล้ว สบายล่ะ แต่พอเข้าโซนตัวเมือง ก็เรียบร้อย เฟรมเรทลดฮวบเหลือ 30-40 อีกครั้ง ชัดเจนว่ามันเป็นที่เกมขาดการ Optimize ที่ดี แต่มันก็ไม่ควรย่ำแย่ถึงขนาดนี้ อันนี้ขอยกมาแซวนิดนึง Forspoken ที่ทุกคนแซวกันอย่างหนัก สาดสกิลอลังการดาวล้านดวงแค่ไหน เฟรมเรทก็ยังทำได้ที่ 60 นิ่ง ๆ ต่างกับเกมนี้ที่บางทีชักไลท์เซเบอร์ออกมาก็เห็นชัดด้วยตาเปล่าแล้วว่าเฟรมเรทตก บางฉากที่ศัตรูเยอะ ๆ ทั้งแสง ทั้งกระสุนมานี่คือ ร่วงจนน่าใจหาย แถมมันส่งผลกับเกมการเล่น เพราะเกมที่ต้องเน้นความแม่นยำ ความรวดเร็ว การที่มันสะดุดเพราะเฟรมเรทดรอป อาจทำให้เราตายในจังหวะที่ไม่ควรตายได้เลย
ข้อดีก็คืออย่างน้อยปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ Gameplay ปัญหาด้าน Performance และการ Optimize นี้เป็นปัญหาที่แก้ไขได้ เราน่าจะได้แพทช์ตามมาแน่ ๆ ในช่วงเกมออก บน PC นี่อาจจะต้องวัดดวงกันเอาหน่อย อาจจะเล่นได้ลื่นกว่าก็ได้ แต่ที่แน่ ๆ ประสบการณ์แรกของผมบน PlayStation 5 มันน่าเสียดายไม่น้อย เพราะถ้ามันเล่นได้ลื่น ๆ นี่เป็นอีกสุดยอดเกมจริง ๆ ถึงจะคิดว่ามันต้องได้รับการแก้ไขแน่ ๆ แต่น่าเสียดายที่ประสบการณ์ครั้งแรกของผมมันน่าจะยอดเยี่ยมกว่านี้จริง ๆ
ในด้านอื่นของตัวเกมก็ถือว่าทำได้ดี การปรับแต่งตั้งค่า ถือว่าทำมาอย่างละเอียด และเป็นทางเลือกให้กับผู้เล่นกลุ่มต่าง ๆ อย่างเช่นพวกโหมดช่วยเหลือระหว่างการเล่น การตั้งค่าปุ่ม จอยต่าง ๆ เรียกได้ว่ามันมีปัญหาแค่การ Optimize เท่านั้น แต่ดันเป็นปัญหาที่หนักที่สุดซะได้
Star Wars Jedi: Survivor เป็นภาคต่อที่ยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน แต่ในด้านการ Optimize และ Performance อาจทำให้มันเป็นประสบการณ์การเล่นครั้งแรกที่ไม่ดีนัก แต่เชื่อว่าเมื่อไรที่มันได้รับการแก้ไขจนสมบูรณ์แบบแล้ว นี่เป็นอีกหนึ่งเกมที่ดีของปีนี้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับแฟน ๆ Star Wars
เกมนี้ไม่ใช่เกมสำหรับผู้เล่นทุกคน ตัวเกมแทบไม่มีความปราณีผู้เล่นที่ยังลองผิดลองถูก แต่ขณะเดียวกัน เกมก็ยินดีที่จะเปิดรับเราเข้ามาทีละน้อย หากเรามุมานะที่จะฝึกฝน เรียนรู้ และฝ่าฟันสิ่งที่เกมนำเสนอไปจนถึงปลายทาง ซึ่งเกมนี้มีดีพอที่จะทำให้แนว Roguelike เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นแน่นอน รีวิวเกม Returnal เมื่อ Dark Souls เวียนว่ายตายเกิดมาเจอกับเกมแนว Roguelike